
ด้วยความที่บ้านเราเป็นพื้นที่เขตร้อนชื้น ภูมิประเทศ ภูมิอากาศ ค่อนข้างเอื้อต่อการเติบโตของต้นไม้หลากหลายสายพันธุ์ ดังนั้นเราจึงมีทรัพยากรป่าไม้เยอะมาตั้งแต่สมัยโบราณ แม้ว่าในตอนนี้จะถูกทำลายไปบ้างแต่ก็ถือว่ายังคงมีมากกว่าอีกหลายๆ ประเทศ ซึ่งถือว่าเป็นความโชคดีของเราด้วย
ถ้าพูดถึงป่าไม้ที่มีความสำคัญต่อระบบนิเวศน์สูงมาก เป็นแหล่งเพาะพันธุ์สัตว์ที่อุดมสมบูรณ์ก็คงหนีไม่พ้นป่าไม้ไม่ผลัดใบ เป็นป่าที่มีลักษณะเขียวชอุ่มตลอดทั้งปี มีความชุ่มชื้นสูง เราจะไม่ได้เห็นใบไม้เปลี่ยนสีที่ป่าประเภทนี้เลย แต่จะได้ผลผลิตที่สำคัญต่อการดำรงชีวิตไปแทน
ป่าประเภทต่างๆ ในกลุ่มของป่าไม้ไม่ผลัดใบ
เช่นเดียวกับป่าเบญจพรรณ และป่าประเภทอื่นๆ ป่าไม้ไม่ผลัดใบก็ยังสามารถแบ่งแยกย่อยได้อีกหลายแบบ ตามแต่รายละเอียดปลีกย่อยกับสายพันธุ์ของต้นไม้ที่อยู่ในป่านั้นๆ และต่อไปนี้ก็เป็นตัวอย่างบางส่วนที่น่าสนใจ ลองมาดูไปพร้อมๆ กันว่ามีป่าอะไรบ้าง
ป่าดงดิบ
นี่น่าจะเป็นป่าแบบแรกที่หลายคนนึกถึง ในบ้านเรามีป่าแบบนี้อยู่แทบทุกพื้นที่แต่ก็มีมากทางภาคใต้ กับภาคตะวันออก จุดเด่นของป่าแบบนี้ก็คือมีความชื้นสูงมาก มีปริมาณน้ำฝนสูงตลอดทั้งปี มักจะมีแหล่งน้ำขนาดใหญ่อยู่ในพื้นที่ป่าหรือบริเวณใกล้เคียงด้วย ส่วนของป่าดงดิบนี้เรายังแยกเป็น ป่าดิบชื้น ป่าดิบแล้ง และป่าดิบเขาได้อีก
– ป่าดิบชื้น จะมีความรกทึบมากที่สุด ต้นไม้ค่อนข้างหนาแน่น ส่วนใหญ่จะมีลำต้นสูง มีอายุยาวนาน ตัวอย่างของพันธุ์ไม้ที่พบได้แก่ ยางนา กอน้ำ เป็นต้น
– ป่าดิบแล้ง พบได้มากทางภาคเหนือ จะมีความชุ่มชื้นน้อยแต่อากาศโดยรวมหนาวเย็น ตัวอย่างของพันธุ์ไม้ที่พบได้แก่ ตะเคียนแดง ตาเสือ เป็นต้น
– ป่าดิบเขา แค่ชื่อก็บอกชัดเจนแล้วว่าต้องอยู่ในพื้นที่ค่อนข้างสูง ต้นไม้ส่วนใหญ่มีอายุมาก ใบโปร่งกว่าป่าดิบชื้นและป่าดิบแล้ง ตัวอย่างของพันธุ์ไม้ที่พบได้แก่ สะเดาช้าง ขมิ้นต้น เป็นต้น
ป่าชายเลน
แหล่งอนุบาลสัตว์น้ำที่พบได้ทั่วไปตามชายฝั่งทะเล พันธุ์ไม้ส่วนใหญ่มีขนาดเล็กมีลักษณะของลำต้นแตกต่างไปจากต้นไม้ในป่าประเภทอื่นๆ ด้วยเหตุที่ทั้งราก และลำต้นด้านล่างต้องอยู่ในน้ำตลอดเวลา เราจึงได้เห็นว่ารากจะระโยงระยางเป็นเครือข่ายเสียมาก ลำต้นก็เรียวบางพร้อมที่จะโอนอ่อนตามกระแสน้ำที่พัดเข้ามาได้ ไม้จากป่าชายเลยไม่สามารถเอาไปทำประโยชน์ได้มากนัก จึงนิยมเอาไปทำถ่านหรือฟืนเท่านั้นเอง
ป่าพรุ
หลายคนอาจคุ้นชินกับชื่อป่าบึงน้ำจืดมากกว่า หากมองแบบผิวเผินป่าแบบนี้จะดูคล้ายกับป่าชายเลนอยู่เหมือนกันเพราะลำต้นบางส่วนกับรากของต้นไม้อยู่ในน้ำ เพียงแต่ว่ามันเป็นน้ำจืดไม่ใช่น้ำทะเล พื้นดินบริเวณนี้มักจะระบายน้ำไม่ค่อยดี น้ำจึงท่วมขัง พันธุ์ไม้ก็จะมีความโปร่งค่อนข้างมาก ตัวอย่างเช่น ต้นโมกบ้าน ต้นหวายน้ำ ต้นระกำ เป็นต้น อย่างไรก็ตามป่าชนิดนี้ถือว่ามีเหลืออยู่ค่อนข้างน้อยแล้ว ด้วยสภาพพื้นที่ที่เปลี่ยนแปลงไป
ป่าชายหาด
เวลาที่เราไปเที่ยวชายทะเลแล้วเห็นว่ามีต้นไม้ขึ้นแบบโปร่งๆ ก็ให้รู้ไว้ได้เลยว่านั่นก็เป็นป่าไม้แบบไม่ผลัดใบเช่นเดียวกัน มันจะมีใบสีเขียวตลอดทั้งปี เพียงแต่ว่าระดับความชุ่มชื้นจะไม่ได้มาจากภายในป่าเป็นหลัก แต่จะมาจากทะเลที่รายล้อมอยู่โดยรอบ พันธุ์ไม้ในป่าประเภทนี้จะมีคุณสมบัติเด่นในด้านการทนความเค็ม ส่วนของลำต้นก็จะไม่ค่อยตรงและตั้งต้นสูง ใบมักจะเป็นแบบแข็งหนา ตัวอย่างของพันธุ์ไม้ที่พบได้ในป่าชายหาดนี้ก็คือ สนทะเล หูกวาง กระทิง กระบองเพชร เป็นต้น